สาเหตุของกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงหัวใจเกิดภาวะแข็งตัว (Ateriosclerosis) ซึ่งเกิดจากการสะสมของสารต่างๆ เกาะบนผนังด้านในของหลอดเลือดส่วนใหญ่ มักจะเป็นผลมาจากไขมันเกาะ ทำให้ผนังหลอดเลือดหนาตัว ตีบแคบหรืออุดตัน และความยืดหยุ่นของหลอดเลือดลดลง เลือดไหลผ่านไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้น้อยลง หรือไมได้เลย ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตโดยไม่ทันรู้ตัว
ปัจจัยที่ส่งเสริมทำให้หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบ
ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง อายุมากขึ้น
สัญญาณอันตรายเมื่อกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
อาการสำคัญของกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด คือ อาการเจ็บหน้าอกบริเวณกลางอกเหนือลิ้นปี่เล็กน้อย ลักษณะเจ็บแบบจุกแน่น เหมือนมีอะไรบีบรัดหรือของหนักทับหน้าอก มักจะเจ็บร้าวไปที่ไหล่ซ้าย แขนซ้ายมักจะมีอาการระหว่างออกกำลังกาย ทำงานออกแรงมากๆ อยู่ในภาวะโกรธ เครียด ตื่นเต้น เมื่อหยุดออกแรงหรือคลายจากอารมณ์ดังกล่าวอาการเจ็บหน้าอกจะทุเลาลง ควรจะไปพบแพทย์ ซึ่งเป็นอาการของหัวใจขาดเลือดชั่วขณะ แต่ถ้าหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงหัวใจอุดตันเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่ได้เลย ทำให้มีกล้ามเนื้อหัวใจตายบางส่วน มักมีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรง เจ็บนาน ญาติควรรีบพาส่งโรงพยาบาลเร็วที่สุด มักมีภาวะช็อกและหัวใจวายร่วมด้วย
การตรวจวินิจฉัยอย่างไรจึงจะทราบว่ากล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
- พิจารณาจากการซักประวัติโรคประจำตัว ประวัติการรักษาและลักษณะของอาการเจ็บหน้าอก อาการเจ็บสัมพันธ์กับการออกแรงหรือความเครียดหรือไม่ เจ็บนานแค่ไหนและตรวจร่างกายทั่วไป ตรวจความดันโลหิตเพื่อพิจารณาความรุนแรงของโรค
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ขณะเดินออกกำลังกายบนสายพาน (Exercise Stress test) เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ขณะออกกำลังกาย เพราะเป็นช่วงที่หัวใจต้องการเลือดไปเลี้ยงมาก หากกล้ามเนื้อหัวใจตายก็จะพบการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้า
- การตรวจเลือด ค่าของสารเคมีในเลือดจะบอกได้ว่า มีกล้ามเนื้อหัวใจตายหรือไม่ จะสามารถวินิจฉัยความรุนแรงของโรคได้
- การฉีดสีเข้าหลอดเลือดหัวใจ ทำให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้แน่นอนว่า หลอดเลือดหัวใจตีบหรือไม่ และมากน้อยเพียงใด
กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดรักษาได้ด้วยวิธีใดบ้าง
การรักษาแพทย์จะพิจารณาหลายๆปัจจัยประกอบการตัดสินใจเลือกวิธีการรักษา ปัจจัยหลักที่แพทย์พิจารณาคือ ความรุนแรงของโรค พยาธิสภาพของหลอดเลือดหัวใจและอาการของผู้ป่วย โดยวิธีการรักษาด้วยยา การใส่สายสวนหัวใจเพื่อขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูน หรือการผ่าตัดทำบายพาสหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Bypass Grafting)
การรักษาด้วยยา
ให้ยาขยายหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ เช่น ไนโตรกลีเซอลีน (Nitroglycerine) อมใต้ลิ้นทันทีเมื่อเกิดอาการ บางครั้งอาจให้ยาป้องกัน ลิ่มเลือด เช่น แอสไพริน รับประทานวันละครั้ง
ในรายที่มีโรคประจำตัวที่เป็นต้นเหตุ เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง แพทย์จะต้องให้ยาเพื่อรักษาโรคประจำตัวเหล่านี้ควบคู่กันไป
การใส่สายสวนหัวใจเพื่อขยายหลอดเลือด
แพทย์จะพิจารณาทำกรณีที่หลอดเลือดหัวใจตีบรุนแรง มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย ที่ไม่สามารถรักษาด้วยยาได้ผล เป็นการขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน เพื่อถ่างขยายหลอดเลือดหัวใจที่ตีบตัน ทำให้เลือดไหลผ่านไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้สะดวก โดยการใส่สายสวนเล็กๆผ่านทางหลอดเลือดที่ขาหนีบ ที่ปลายสายสวนมีบอลลูนขนาดจิ๋วที่ยังแฟบอยู่ เมื่อเลื่อนบอลลูนไปจนถึงตำแหน่งของหลอดเลือดที่ตีบตันแล้ว แพทย์จะดันบอลลูนให้ขยายออก บอลลูนจะเบียดคราบหินปูนคราบไขมันที่เกาะผนังหลอดเลือดให้ยุบลงไป หลังจากนั้นแพทย์จะเอาบอลลูนออกมา แต่บางกรณีแพทย์อาจพิจารณาใส่ขดลวดเล็กๆ (Stent) คาไว้ในบริเวณที่หลอดเลือดตีบตัน เพื่อป้องกันการตีบของหลอดเลือดซ้ำอีก
การผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ (Bypass)
การพิจารณาผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ จะทำในกรณีที่หลอดเลือดหัวใจตีบรุนแรง โดยแพทย์จะพิจารณาจากพยาธิสภาพของหลอดเลือดหัวใจและอาการของผู้ป่วยเป็นหลัก เป็นการผ่าตัดทำทางเบี่ยงข้ามเพิ่มหลอดเลือดใหม่เข้าไป ต่อข้ามตำแหน่งของหลอดเลือดที่ตีบตัน ทำให้เลือดสามารถไหลผ่านไปเลี้ยงหัวใจด้วยเส้นทางใหม่ ซึ่งโดยปกติจะต่อหลอดเลือดประมาณ 3 – 5 เส้น หลังผ่าตัดต้องรับประทานยาต่อเพื่อป้องกันการตีบซ้ำของหลอดเลือด
เอาหลอดเลือดใหม่มาจากไหนเพื่อทำบายพาส
การเลือกหลอดเลือดมาทำบายพาส (Graft) แพทย์จะพิจารณาหลายปัจจัยประกอบ เช่น ความยืดหยุ่นและความหนาบางของผนังหลอดเลือด และสภาพร่างกายของผู้ป่วย ส่วนใหญ่จะนิยมใช้หลอดเลือดแดงบริเวณหน้าอก และหลอดเลือดดำที่ขา
การปฏิบัติตัวเมื่อเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
- การรับประทานยาตามคำสั่งแพทย์ อย่างเคร่งครัด
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และพอเหมาะกับความต้องการของร่างกาย เน้น ผักผลไม้ หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง หลีกเลี่ยงอาหารเค็มจัด งด ชา กาแฟ บุหรี่
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น การเดิน เป็นต้น แต่อย่ามากเกินกำลัง
- การพักผ่อนที่พอเพียง
- พบแพทย์ตามนัดสม่ำเสมอ
การป้องกันโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
- การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ไขมันน้อย มีกากใยมากๆ เช่น ผัก ผลไม้ ปลา เป็นต้น
- ควรออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อย สัปดาห์ละ 3 วัน
- หลีกเลี่ยงการสูบหรี่
- นอนพักผ่อนให้เพียงพอ
- รู้จักผ่อนคลายความเครียด
- ควบคุมน้ำหนัก งดอาหารหวานจัด
- ควรตรวจสุขภาพประจำปี
- หากท่านมีโรคประจำตัว ควรพบแพทย์และรับประทานยาตามคำสั่งแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง เป็นต้น
- เมื่อมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก ควรปรึกษาแพทย์s
นพ.สุวัฒน์ คงดำรงเกียรติ
โรงพยาบาลพญาไท 3