ขจัดด้วยการใช้ความร้อนฆ่าเซลล์มะเร็งที่ตับและส่งเคมีบำบัดผ่านหลอดเลือดแดงเข้าสู่ตับ (TACE)

มะเร็งตับ หนึ่งในโรคมะเร็งที่พบบ่อย ซึ่งปัจจัยเสี่ยงของโรคก็เป็นเรื่องใกล้ตัวเรามาก ไม่ว่าจะ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซีการทานอาหารและมีสารปนเปื้อนอย่างอะฟลาท็อกซินที่พบได้ในถั่วลิสงและพริกแห้ง ภาวะตับแข็งจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น แอลกอฮอล์หรือไวรัสตับอักเสบ เป็นต้น โดยมะเร็งตับมี 2 ชนิด คือ มะเร็งตับที่ต้นกำเนิดจากเซลล์ตับเอง และมะเร็งตับที่แพร่กระจายมาจากอวัยวะอื่น ๆ  ในที่นี้จะกล่าวถึงการรักษามะเร็งตับที่ต้นกำเนิดจากเซลล์ตับเองเท่านั้น

ปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกวิธีการรักษา

สำหรับการรักษามะเร็งตับนั้น แพทย์จะพิจารณาเลือกแนวทางรักษาจากระยะความรุนแรง ระยะของโรค ขนาด และจำนวนของก้อนมะเร็ง ควบคู่กับสภาพร่างกายโดยรวมของคนไข้เป็นสำคัญ ซึ่งมีทั้งการผ่าตัดรักษา การใช้ความร้อนฆ่าเซลล์มะเร็งที่ตับ การให้เคมีบำบัดผ่านหลอดเลือดแดงเข้าสู่ตับ (TACE) และการรักษาแบบประคับประคองด้วยการทานยา

โดยวันนี้เราจะมาทำความเข้าใจและรู้จักกับวิธีการรักษามะเร็งตับโดยใช้ความร้อนฆ่าเซลล์มะเร็งที่ตับโดยไม่ต้องผ่าตัด และการรักษามะเร็งตับด้วยเคมีบำบัดผ่านหลอดเลือดแดง (Trans Arterial Chemo Embolization: TACE) ด้วยกัน  

การใช้ความร้อนฆ่าเซลล์มะเร็งตับดีอย่างไร

การรักษาโดยใช้ความร้อนเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็งตับจะทำในกรณีที่เป็นมะเร็งตับในระยะเริ่มแรก และก้อนมะเร็งมีขนาดเล็ก รวมถึงมีน้อยกว่า 3 ก้อน วิธีการรักษาแพทย์จะสอดเข็มขนาดเล็กผ่านทางหน้าท้องจำนวน 1 รู เข้าไปยังตับ เพื่อให้ปลายเข็มไปยังตำแหน่งของก้อนมะเร็งและใช้การนำทางด้วยเครื่องอัลตราซาวนด์ หลังจากนั้นจึงปล่อยคลื่นความถี่วิทยุ (Radio Frequency Ablation: RF) หรือคลื่นไมโครเวฟ (Microwave Ablation) เพื่อสร้างความร้อนที่ปลายเข็มและทำลายเซลล์มะเร็งให้ได้เป้าหมายตามที่กำหนด เพื่อไม่ให้มีเซลล์มะเร็งหลงเหลือ

และคำถามที่ทุกคนอยากทราบอย่างแน่นอนก็คือ วิธีนี้ดีอย่างไร? คำตอบก็คือ การรักษาด้วยวิธีนี้จะมีผลกระทบกับเนื้อตับส่วนที่ดีน้อยมาก ได้ผลการรักษาเทียบเท่าการผ่าตัดการรักษา เพียงให้ยาระงับปวดทางเส้นเลือดระหว่างการใช้ความร้อนเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็งตับ หลังการรักษาจึงฟื้นตัวเร็ว นอนพักฟื้นเพียง 1-2 วัน ก็สามารถกลับบ้านได้

การรักษามะเร็งตับด้วยเคมีบำบัดผ่านทางหลอดเลือดแดง (TACE)

โดยปกติเซลล์ตับจะถูกหล่อเลี้ยงด้วยเส้นเลือดดำจากระบบทางเดินอาหาร แต่ก้อนมะเร็งที่ตับนั้นต่างออกไป เพราะจะมีการดึงเส้นเลือดแดงไปหล่อเลี้ยงก้อนของมะเร็งให้เจริญเติบโต จึงทำให้เกิดแนวคิดการรักษาด้วย TACE ขึ้น เพื่อส่งผ่านเคมีบำบัดเข้าไปยังก้อนมะเร็งตับโดยตรง แทนการให้เคมีบำบัดแบบปกติ

การรักษาด้วย TACE จะทำในห้องปฏิบัติการสวนหัวใจ Cath Lab เพียงฉีดยาชาที่ขาหนีบ ก่อนทำการสวนหลอดเลือดเข้าทางขาหนีบ โดยสายสวนหลอดเลือดขนาดเล็ก จนกระทั้งปลายสายสวนหลอดเลือดอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม คือ เส้นที่ไปหล่อเลี้ยงเซลล์มะเร็งตับโดยตรง หลังจากนั้นจึงให้เคมีบำบัด และอุดหลอดเลือดด้วยวัสดุทางการแพทย์ เพื่อให้เคมีบำบัดค้างอยู่ในก้อนมะเร็งให้ได้นานขึ้น และทำลายเซลล์มะเร็งตับได้มากที่สุด โดยส่งผลข้างเคียงต่อเซลล์ตับปกติที่อยู่เคียงข้างเพียงเล็กน้อย

ข้อบ่งชี้ใดบ้างที่สามารถรักษาได้ด้วย TACE

  • คนไข้เป็นมะเร็งตับอยู่ในระยะกลาง และสภาพร่างกายโดยรวม อยู่ในเกณฑ์ที่สามารถทำได้
  • ก้อนมะเร็งยังไม่ลุกลามเข้าไปยังเส้นเลือดดำที่หล่อเลี้ยงตับ
  • ก้อนมะเร็งมีขนาดไม่ใหญ่จนเกินไป

วิธีการดูแลตัวเองก่อนและหลังการรักษา

  • ก่อนรักษาต้องงดน้ำและอาหาร 6 ชม. และคนไข้จะได้รับตรวจเลือดและเอ็กซเรย์อย่างละเอียด
  • หลังทำการรักษาแพทย์จะดึงสายสวนออก และทำการห้ามเลือดบริเวณขาหนีบ ผู้ป่วยจึงต้องนอนราบบนเตียง และงอขาหนีบภายใน 6-8 ชม.แรก หลังการรักษา
  • คนไข้ต้องนอนพักเพื่อดูอาการอย่างน้อย 1 วันหลังการรักษา
  • เข้ารับการตรวจประเมินผลการรักษาภายใน 4 สัปดาห์
  • กรณีก้อนมีขนาดใหญ่ หรือหลายตำแหน่ง อาจต้องรักษามากกว่า 1 ครั้ง คนไข้ควรมาทำการรักษาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

จากข้อมูลข้างต้น ทำให้เห็นถึงสิ่งสำคัญประการหนึ่ง นั่นคือการรักษามะเร็งมีหลายแนวทาง เพียงแค่คุณต้องให้ความสำคัญในการศึกษาเปิดรับข้อมูลต่าง ๆ อย่างเข้าใจ และสิ่งสำคัญที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการรักษามะเร็ง ก็คือ “กำลังใจ” ที่ต้องมีอย่างเต็มเปี่ยม เพื่อความพร้อมในการต่อกรกับเซลล์มะเร็ง ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อคุณเอง…สู้ๆ 

นพ.ธณัฐ วิทยานุลักษณ์
แพทย์เฉพาะทางด้านรังสีวิทยาและรังสีร่วมรักษา
โรงพยาบาลพญาไท 3

Start typing and press Enter to search