การใส่สายคาปัสสาวะ คือ การสอดใส่ สายยางสำหรับสวนปัสสาวะที่ปลอดเชื้อ แบบมีลูกโป่งที่ปลายสาย ผ่านปากช่องท่อ ปัสสาวะ เข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ แล้วจะใส่น้ำปราศจากเชื่อเข้าไปทางท่อที่ทำให้ลูกโป่งพองออกมาสายสวนจึงเลื่อนออกมาไม่ได้ ทำให้น้ำปัสสาวะไหลออกมาได้
เหตุใดที่ควรใส่สายสวนคาปัสสาวะ
- เพื่อระบายให้ปัสสาวะไหลออกมาได้สะดวกในผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องการควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะ
- เพื่อประเมินการทำงานของไต ในผู้ป่วยที่ผ่าตัดใหญ่ หรืออยู่ภาวะช็อค
- เพื่อป้องกันการปนเปื้อน หรือติดเชื้อในผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว มีแผล ขนาดใหญ่ ที่บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ แผลที่ก้น
การดูแลผู้ที่ใส่สายสวนปัสสาวะคาไว้ จะต้องได้รับการดูแลและทำความสะอาด อย่างเหมาะสม และถูกต้องต้อง ซึ่งการทำความสะอาดจะต้องทำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เพื่อลดโอกาสเสี่ยงในการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ
ขั้นตอนการปฏิบัติ
- ต้องดูแลให้สายสวนและถุงปัสสาวะ อยู่ในระบบปิดตลอดเวลา
- ถุงปัสสาวะต้องยู่ระดับต่ำกว่า ระดับเอวหากต้องยกสูงให้หักพับสายก่อน
- กระตุ้นให้ผู้ป่วยมีการเคลื่อนไหวบ่อยๆ หากมีข้อจำกัดให้ตะแคงตัวแทน ระวังอย่าให้สายปัสสาวะหัก พับงอซึ่งอาจจะเกิดจากการนอนทับ
- แนะนำให้ดื่มน้ำวันหละ 2,500-3,000 ซีซี (ในกรณีที่ ไม่มีข้อจำกัดเรื่องการดื่มน้ำ)
- ผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว อาจต้องผูกยึดเพื่อไม่ให้ผู้ป่วยดึงสายสวนปัสสาวะและต้องคอยสังเกตไม่ให้มีรอยแผลจากการผูกยึด
- สังเกตลักษณะสีกลิ่น หากตะกอนเกาะสายหรือถุงปัสสาวะให้เปลี่ยนสายและถุงใหม่ที่โรงพยาบาล
- ถ้าปัสสาวะขุ่น หรือมีไข้ให้พบแพทย์
- ควรเปลียนสายสวนทุก 2 สัปดาห์ – 1 เดือน ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน ส่วนถุงปัสสาวะ ให้เปลี่ยนเมื่อ ถุงเริ่มสกปรก
- การล้างทำความสะอาดโดยการฟอกสะบู่ ดึงหนังหุ้มปลายลงฟอกให้สะอาดอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ต้องระวังการดึงรั้งสายสวน และดึงหนังหุ้มปลายขึ้นทุกครั้งหลังทำความสะอาด
อาการผิดปกติที่ควรสังเกต
- กลิ่น แสดงถึงอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อชนิดอื่นๆ
- รูเปิดท่อปัสสาวะ บวม แดง และมีหนองซึมออกมาอาจแสดงถึง มีการทำความสะอาดไม่ดี หรือมีการติดเชื้อ
- มีไข้ แสดงถึงการติดเชื้อ ระบบทางเดินปัสสาวะ ปัสสาวะรั่วไหล อาจแสดงถึงสายปัสสาวะ มีการขัดข้อง