มะเร็งกระเพาะปัสสาวะเป็นโรคที่เกิดจากการแบ่งตัวที่ผิดปกติของเซลล์เยื่อบุผนังด้านในของกระเพาะปัสสาวะโดยมีการแบ่งตัวที่เพิ่มขึ้นมากเกินไปจนกลายเป็นเนื้อมะเร็งร้าย ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเป็นแล้วจะมีโอกาสแพร่กระจายไปยังอวัยวะภายในส่วนอื่นๆ ได้เช่นกันด้วย ทั้งนี้ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะมักพบได้ในผู้ใหญ่ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป และมีโอกาสพบได้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
ปัจจัยเสี่ยงใด ทำให้เราเสี่ยงภัยเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะมากขึ้น
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญของการทำให้เป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะนั้น นอกจากเรื่องของพันธุกรรม ที่มีความผิดปกติ หรือมีบุคคลในครอบครัวเคยเป็นแล้ว พฤติกรรมต่างๆ ที่เราใช้ในการดำเนินชีวิต ก็มีส่วนผลักดันให้เรามีโอกาสเป็นโรคนี้มากขึ้นได้ด้วย โดยปัจจัยเสี่ยงที่ว่านั้น ได้แก่
- การสูบบุหรี่เป็นประจำ หรือแม้กระทั่งผู้ที่ไม่ได้สูบ แต่ได้รับควันบุหรี่จากคนใกล้ตัวเป็นประจำ ก็มีผลเพิ่มปัจจัยเสี่ยงให้มีมากขึ้น
- ผู้ที่ทำงานอยู่ในโรงงานอุตสาหกรรม ที่มีโอกาสสัมผัสสารเคมีมากกว่าคนปกติ จะมีความเสี่ยงมากกว่า
- การติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ หรือ ติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะแบบเรื้อรัง ซึ่งสาเหตุสำคัญหนึ่งที่ทำให้คนเรามีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อเรื้อรังในระบบทางเดินปัสสาวะก็คือ การมีนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ หรือมีภาวะกระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติ ซึ่งมักพบในผู้ป่วยที่มีอาการอัมพาต หรือผู้ที่ต้องใส่สายสวนปัสสาวะเป็นเวลานาน
สังเกตอาการอย่างไร ถึงรู้ว่ากำลังเสี่ยงภัยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
โดยทั่วไปแล้ว อาการบ่งชี้สำคัญของโรคในระบบทางเดินปัสสาวะนั้น ส่วนใหญ่จะคล้ายกันคือ “อาการปัสสาวะผิดปกติ” โดยจะมีตั้งแต่ ปัสสาวะบ่อย แสบ ขัดลำกล้อง กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หากแต่อาการสำคัญที่อาจชี้ชัดได้เลยว่าเป็นแน่ๆ นั้น ให้สังเกตจาก 2 อาการต่อไปนี้
- ปัสสาวะเป็นเลือดแต่ไม่มีอาการเจ็บปวดร่วมด้วย ซึ่งจะแตกต่างจากโรคอื่นที่จะมีอาการปวดร่วมด้วย และนี่ถืออาการที่พบได้บ่อยที่สุดในกลุ่มผู้ป่วยโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
- มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
- หากมะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น อาจมีอาการปวดหลังส่วนล่าง ปวดกระดูกร่วมด้วย
รักษาหายได้อย่างไร เมื่อถูกภัยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะคุกคาม
แม้จะเป็นโรคร้ายแรงอย่างมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ แต่ก็ยังมีโอกาสรักษาให้หายขาดได้ แต่ต้องขึ้นอยู่กับการตรวจพบเจอโรคด้วยว่าเป็นในระยะใด ทั้งนี้ ในขั้นตอนของการวินิจฉัย แพทย์จะทำการตรวจปัสสาวะเพื่อหาความผิดปกติของเม็ดเลือดแดง และหาเซลล์มะเร็งที่ปะปนอยู่ในปัสสาวะ ก่อนทำการส่องกล้องตรวจกระเพาะปัสสาวะเพื่อหาตำแหน่ง และขนาดรูปร่างของก้อนเนื้อ แล้วทำการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ ร่วมกับการตรวจวินิจฉัยทางรังสี ได้แก่ เอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ช่องท้อง ( CT scan) หรือเอ็กซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ซึ่งวิธีนี้ถือว่าเป็นวิธีการวินิจฉัยที่แม่นยำที่สุดที่จะบอกได้ว่าเราเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะหรือไม่ ซึ่งหากพบว่าเป็นแพทย์ก็จะทำการรักษาโดยพิจารณาวิธีจากระยะของโรค โดยหากพบว่าเป็นในระยะแรก แพทย์จะทำการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดส่องกล้อง โดยนำกล้องส่องเข้าไปทางท่อปัสสาวะ และใช้เครื่องมือขนาดเล็กผ่าตัดเนื้องอกในกระเพาะปัสสาวะออกมา ซึ่งวิธีนี้ ถือว่ามีประสิทธิภาพ และช่วยให้ผู้ป่วยเจ็บน้อย ไม่มีแผลผ่าตัด ฟื้นตัวไว และมีโอกาสหายกลับมาเป็นปกติได้เร็วขึ้น แต่ในขณะเดียวกันผู้ป่วยบางราย แพทย์ก็อาจใช้ยาฆ่าเซลล์มะเร็งร่วมด้วย เพื่อลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับระยะโรค ความรุนแรงของโรค และดุลพินิจของแพทย์
รู้ไว้ไม่เสียหลาย จะได้หายห่วง!!
แม้จะขึ้นชื่อว่ามะเร็ง แต่โรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ก็จัดว่าเป็นมะเร็งที่น่ากลัวน้อยกว่ามะเร็งชนิดอื่นๆ ด้วยเพราะเป็นมะเร็งที่ตรวจพบง่าย โดยถ้าพบตั้งแต่ในระยะที่ 1 ก็ทำการรักษาหายได้ง่าย แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีก ดังนั้น ทางที่ดีที่สุด ก็คือ เราควรดูแลตัวเองให้ดี หมั่นสังเกตอาการผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินปัสสาวะของตัวเองอยู่เสมอ และควรตรวจสุขภาพประจำปีอย่าให้ขาด เพื่อลดโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคร้ายนี้ให้หมดไป หรือไม่ก็เพื่อป้องกันไม่ให้มะเร็งลุกลามไประยะร้ายแรงจนเป็นอันตรายต่อชีวิต
ศูนย์ศัลยกรรมทางเดินปัสสาวะและโรคนิ่ว