ไส้ติ่งอักเสบจัดเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ผู้ป่วยทุกรายต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดอย่างทันท่วงที เพราะหากช้าไปเพียงเสี้ยววินาที ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ทั้งนี้ สาเหตุของภาวะไส้ติ่งอักเสบนั้น เกิดจากการอุดตันของไส้ติ่ง ที่อาจเกิดขึ้นได้เพราะ การมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไป การเป็นแผล หรือการติดเชื้อพยาธิและแบคทีเรีย รวมไปถึงการมีนิ่วอุจจาระเข้าไปอุดตันด้วย ซึ่งเมื่อสาเหตุดังกล่าวเกิดขึ้น ไส้ติ่งส่วนที่อุดตันก็จะมีการคั่งของมูก ทำให้อักเสบ บวม ความดันในส่วนที่อักเสบจะทำให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด จนขัดขวางการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลือง โดยหากปล่อยให้ไส้ติ่งอักเสบต่อไป ก็จะทำให้ไส้ติ่งขาดเลือดและตายในที่สุด นำไปสู่การเกิดหนอง อักเสบจนแตก ทำให้เยื่อบุช่องท้องอักเสบตามมา และอาจเกิดภาวะเลือดเป็นพิษจนเสียชีวิตได้
สังเกตอาการอย่างไร ถึงรู้ว่ากำลังเสี่ยงภัยไส้ติ่งอักเสบ
เนื่องจากความอันตรายของไส้ติ่งอักเสบนั้น ขึ้นอยู่กับการได้รับการรักษาทันเวลาหรือไม่ ดังนั้น การสังเกตอาการโดยผู้ป่วยเอง หรือคนใกล้ชิดร่วมช่วยกันดูแล จะเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะทำให้ได้รับการรักษาได้อย่างทันท่วงที โดยอาการที่เป็นสัญญาณเตือนว่าเราอาจกำลังป่วยเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบนั้น ได้แก่
- ปวดท้องโดยไม่ทราบสาเหตุ
- อาการปวดรุนแรงขึ้น ปวดต่อเนื่องยาวนานหลายชั่วโมง โดยมีลักษณะปวดบิดเป็นระยะ บริเวณรอบสะดือ
- มีไข่ต่ำ คลื่นไส้ อาเจียน ทานอะไรไม่ค่อยลง เบื่ออาหาร
- อาการปวดทวีความรุนแรงขึ้น และปวดหนักบริเวณท้องน้อยด้านขวา ซึ่งอาการนี้ค่อยข้างเป็นอาการบ่งชี้ว่า เรากำลังเผชิญหน้ากับไส้ติ่งอักเสบค่อนข้างแน่นอน แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบางรายก็อาจปวดท้องน้อยด้านซ้ายก็ได้ หรืออาจจะปวดหลัง เอว หรือซี่โครงก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าบริเวณที่ไส้ติ่งอักเสบนั้นคือตรงไหน เพราะไส้ติ่งคนเรามีขนาดใหญ่มากถึงประมาณ 8-10 ซม. หรือบางรายมากถึง 20 ซม.ก็มี
- ยิ่งขยับตัวยิ่งปวดมาก บางรายปวดมากจนถึงขั้นต้องนอนนิ่งๆ เฉยๆ
ไส้ติ่งรักษาง่าย หายห่วง ด้วยการผ่าตัดผ่านกล้องแผลเล็ก
หลังจากแพทย์วินิจฉัยแล้วว่าผู้ป่วยไส้ติ่งอักเสบ การผ่าตัดคือทางออกเดียวที่จะเยียวยาโรคนี้ได้ เพราะหากปล่อยทิ้งไว้จะมีอันตรายถึงชีวิต อย่างไรก็ดี แต่เดิมการผ่าตัดไส้ติ่งจะเป็นการผ่าตัดแบบเปิดแผล ซึ่งจะผ่าตัดบริเวณท้องน้อยด้านขวา ขนาดแผลจะมีขนาดใหญ่ประมาณ 3-10 ซม. ซึ่งในกรณีที่ไส้ติ่งแตก จะยิ่งทำให้ต้องเปิดแผลกว้างขึ้นโดยต้องเปิดแผลยาวกลางท้อง จึงทำให้มีความเสี่ยงมาก ผู้ป่วยเจ็บปวดมาก ฟื้นตัวช้า และต้องพักฟื้นในโรงพยาบาลนานจนเปลืองค่าใช้จ่าย แต่ในปัจจุบันเราสามารรักษาไส้ติ่งอักเสบได้ด้วยการผ่าตัดผ่านกล้องแผลเล็ก โดยใช้เทคนิค Minimally Invasive Surgery : MIS ผ่าตัดโดยการเจาะผิวหนังเป็นรูขนาดเล็กไม่เกิน 2 ซม. เพื่อสอดกล้องและเครื่องมืดผ่าตัดเข้าไปในช่องท้อง และทำการผ่าตัดผ่านจอภาพ ซึ่งข้อดีของการผ่าตัดไส้ติ่งผ่านกล้อง ก็คือ ผู้ป่วยจะไม่มีแผลเป็นขนาดใหญ่ ไม่เจ็บปวดมาก หายไว ฟื้นตัวเร็ว เพราะแผลมีขนาดเล็ก มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้น้อย และหายเป็นปกติได้รวดเร็วกว่าการผ่าตัดแบบเปิดมาก
ป้องกันตัวเองอย่างไร ให้ห่างไกลไส้ติ่งอักเสบ
เนื่องจากสาเหตุหลักของไส้ติ่งอักเสบนั้น อยู่ที่การอุดตันบริเวณไส้ติ่ง อันมีผลมากจากอุจจาระ หรือสิ่งแปลกปลอมอื่นเป็นสำคัญ ดังนั้น ในแนวทางที่จะทำให้เราป้องกันตัวเองจากโรคไส้ติ่งอักเสบได้ก็คือ “การควบคุมพฤติกรรม” ในการรับประทานอาหารและขับถ่ายของตัวเราเองให้ดีที่สุด โดยสิ่งที่เราควรเพื่อป้องกันความเสี่ยง มีดังนี้
- รับประทานอาหารที่มีกากใยสูงเพียงพอ เพื่อให้ระบบขับถ่ายทำงานอย่างเป็นปกติ ไม่เกิดการหมักหมมหรือตกค้าง
- ดื่มน้ำเปล่า น้ำสะอาดมากๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับลำไส้ และช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เคี้ยวอาหารให้ละเอียด เพื่อให้ย่อยง่าย และลดความเสี่ยงของเศษอาหารที่อาจตกหล่นไปยังไส้ติ่ง
และสะสมจนเป็นก้อนนิ่วอุจจาระ - หลีกเลี่ยงการรับประทานเม็ดฝรั่ง เม็ดแตงโม ฯลฯ เพื่อป้องกันการอุดตันบริเวณไส้ติ่ง
รู้ไว้ไม่เสียหาย ให้เราดูแลตัวได้ดีมากขึ้น
ปัจจุบันไส้ติ่งอักเสบถือเป็นโรคธรรมดาที่ใครก็เป็นได้ง่ายๆ แถมยังพรากเอาลมหายใจของผู้ป่วยไปเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยจากสถิติพบว่าในแต่ละวันจะมีการผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบในโรงพยาบาลประจำจังหวัดประมาณ 40 ราย และส่วนใหญ่สาเหตุสำคัญของการเสียชีวิต มาจากการไม่ได้รับการรักษาที่ทันเวลา ดังนั้น เพื่อเป็นการรักษาชีวิตของผู้ป่วยโรคไส้ติ่งอักเสบให้ได้มากที่สุด คือ ตัวเราเองและคนใกล้ชิด จำเป็นจะต้องสังเกตอาการของโรคนี้ให้ดี ถ้าเห็นว่ามีความเสี่ยงว่าอาจเป็นไส้ติ่งอักเสบ ควรรีบพบแพทย์โดยด่วน!!
—
นพ. พงษ์ตะวัน กัลยพฤกษ์
คลินิกศัลยกรรมทั่วไป
โรงพยาบาลพญาไท 3